การผสมพันธุ์นกกระจอกเทศ(
Reproduction) และเทคนิคการฟักไข่

นกกระจอกเทศถ้าปล่อยเลี้ยงตามธรรมชาติ (Wild Ostrich) จะถึงอายุผสมพันธุ์เมื่อเพศผู้อายุ
3 – 4 ปีขึ้นไป ส่วนเพศเมีย 2.5 ปีขึ้นไป แต่นกกระจอกเทศที่เลี้ยงในระบบฟาร์ม
(Intensive) จะใช้ผสมพันธุ์ได้เมื่อเพศผู้อายุ 2.5 ปี ขึ้นไป ส่วนเพศเมียอายุ
2 ปีขึ้นไปทั้งนี้ขึ้นอยู่กับอาหารและการจัดการเป็นหลัก อัตราส่วนที่ใช้ผสมพันธุ์เพศผู้
1 ตัวต่อเพศเมีย 1 – 3 ตัว นกกระจอกเทศจะผสมพันธุ์ในช่วงที่มีอากาศเย็นและแห้ง
ซึ่งในประเทศไทยฤดูผสมพันธุ์ของนกกระจอกเทศจะอยู่ระหว่างเดือนตุลาคมถึงเดือนมีนาคม
แต่ก็ยังไม่ได้สรุปเป็นที่แน่ชัด
ในฤดูผสมพันธุ์ นกกระจอกเทศเพศผู้ซึ่งมีขนสีดำ ปลายหางและปลายปีกสีขาว
จะมีสีดำและขาวเป็นมันวาว ปาก ขอบตา และแข้งจะมีสีชมพูเข้ม ตัวเมียสีของขนจะไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก
คงเป็นสีน้ำตาลเช่นเดิม โดยธรรมชาติพ่อนกกระจอกเทศจะคุมฝูงตัวเมียได้หลายตัว
แต่จะมีเพียงหนึ่งตัวเท่านั้นที่เป็นคู่แท้ ส่วนที่เหลือจะเป็นตัวสำรองไป
(Secondary Hens)
นกกระจอกเทศเพศผู้จะแสดงอาหารเป็นสัดโดยการนั่งลงบนพื้นข้อเข่า
แล้วกางปีกทั้งสองข้างออกโบกขึ้นลง ขณะเดียวกันหัวก็จะโยกไปตามจังหวะของการโบกปีก
ส่วนตัวเมียจะแสดงอาการเป็นสัดโดยกางปีกออกสั่นแต่ไม่นั่งเหมือนตัวผู้
วิธีผสมพันธุ์
เมื่อนกกระจอกเทศตัวเมียนั่งบนพื้น
หัวและคอจะทอดยาวอยู่บนพื้น
แต่จะมีบางตัวที่ชูหัวตั้ง
แล้วตัวผู้จะขึ้นคร่อมบนหลังตัวเมียเพื่อสอดใส่อวัยวะเพศเข้าไปทางก้นของตัว
เมียซึ่งจะใช้เวลาผสมพันธุ์นานเพียง
1 – 3 นาที
แต่หากเลี้ยงนกกระจอกเทศเพศผู้และเพศเมียรวมกันก่อนถึงฤดูผสมพันธุ์
ควรจะแยกตัวผู้ออกจากฝูงตัวเมียโดยไม่ให้ตัวผู้ได้มีโอกาสเห็นตัวเมียเลย
เพราะเชื่อว่าจะทำให้ฮอร์โมนเพศของเพศผู้สูงขึ้น
ซึ่งจะทำให้การผสมติดดียิ่งขึ้นด้วย
อย่างไรก็ตาม การที่นกกระจอกเทศจะให้ผลผลิตมากน้อยอย่างไรขึ้นอยู่กับ
- อาหารมีคุณภาพดี และเหมาะสม
- ความสมบูรณ์ของนก
- อุณหภูมิและสิ่งแวดล้อม
ส่วนข้อควรพิจารณาความเหมาะสมของคู่ผสมพันธุ์ให้พิจารณาจาก
- ปริมาณไข่ต่อปี
- อัตราของไข่มีเชื้อ
- อัตราการฟักออกเป็นตัว
- อัตราการตายของลูกนก
การฟักไข่นกกระจอกเทศ
ผู้เลี้ยงนกกระจอกเทศควรจะรู้และเข้าใจเรื่องการเจริญเติบโตของเชื้อลูกนกกระจอกเทศตลอดจนระยะการฟักจนออกมาเป็นตัว
การฟักไข่นกกระจอกเทศทำได้ 2 วิธีคือ
- ฟักแบบธรรมชาติ หรือให้แม่นกกระจอกเทศฟักไข่เอง
- ฟักไข่ด้วยเครื่องฟัก (Incubator)
การฟักไข่แบบธรรมชาติ
แม่นกกระจอกเทศจะเลือกออกไข่บริเวณที่โล่งแจ้งบนเนินสูงจากระดับพื้นปกติเล็กน้อยเพื่อมองเห็นศัตรูได้ทุกด้าน
และเป็นการป้องกันไม่ให้น้ำท่วมไข่ในขณะที่ฟักไข่ แม่นกกระจอกเทศจะออกไข่เป็นชุด
(Clutch) ชุดละประมาณ 12 – 1 8 ฟองโดยที่นกกระจอกเทศจะออกไข่ปีละไม่เกิน
6 เดือน โดยออกไข่ทุก 2 วัน ต่อ 1 ฟอง ไข่หนักฟองละ 900 – 1,650 กรัม และมีความยาว
6 – 8 นิ้ว เปลือกไข่สีครีมขาว จนได้ไข่ 12 – 16 ฟองก็จะหยุดไข่ หลังจากนั้นแม่นกกระจอกเทศจะนั่งฟักไข่ในช่วงเวลากลางวัน
ตั้งแต่ 09.30 น. ถึง 16.30 น. หลังจากนั้นจะเปลี่ยนให้พ่อนกกระจอกเทศช่วยฟักในเวลากลางคืน
ในช่วงเวลาที่พ่อ – แม่นกกระจอกเทศเปลี่ยนเวรกันฟักไข่นี่เองจะมีการกลับไข่เกิดขึ้น
ซึ่งเป็นผลดีกับไข่ที่ถูกฟักอยู่เพราะจะได้สัมผัสกับอากาศได้อย่างทั่วถึง
อุณหภูมิที่ไข่ฟักได้รับจากพ่อ – แม่นกกระจอกเทศอยู่ระหว่าง 38+0.2 C ความชื้นสัมพัทธ์ประมาณ
33.5 % และใช้เวลาฟักไข่นานถึง 42 วัน

การฟักไข่ด้วยเครื่องฟักไข่
โดยทั่วไปแม่นกกระจอกเทศจะออกไข่ทุกวันเว้นวัน ดังนั้นหากในแต่ละชุดผสมพันธุ์
(Set) ที่มีพ่อนกกระจอกเทศ 1 ตัวต่อแม่นกกระจอกเทศ 1 – 3 ตัว แม่นกอาจจะออกไข่พร้อมกันในวันเดียวกัน
หรือสลับวันกันออกไข่ก็ได้ เมื่อพบว่าแม่นกออกไข่แล้วให้รีบเก็บไข่ออกทันที
เพื่อไม่ให้ไข่อยู่บนพื้นนานเกินไป เพราะจะทำให้ไข่สกปรกและมีเชื้อโรคหรือจุลินทรีย์แทรกซึมเข้าไปในไข่
ทำให้เชื้ออ่อนแอถึงตายได้
หลังจากนั้นให้หาไข่ปลอมที่มีรูปร่าง ลักษณะและน้ำหนักเหมือนไข่นกกระจอกเทศมาวางไว้แทนเพื่อกระตุ้นให้แม่นกกระจอกเทศออกไข่เรื่อย
ๆ ในที่เดียวกัน ปกติแม่นกกระจอกเทศจะออกไข่ปีละ 40 – 80 ฟอง แต่ก็มีบางฟาร์มที่สามารถผลิตไข่ได้ถึงปีละ
100 ฟอง ต่อแม่นกกระจอกเทศ1 ตัว ไข่นกกระจอกเทศจะมีลักษณะกลมรี โดยมีความกว้างยาวเกือบเท่ากัน
เปลือกไข่สีขาวครีม และมีรูระบายอากาศใหญ่เห็นชัดเจนขนาดและน้ำหนักของไข่จะแตกต่างกันไปตามชนิดของสายพันธุ์
ซึ่งในระหว่างการฟักน้ำหนักไข่จะหายไป 11 – 15 %
วิธีการเลือกไข่ฟัก
ไข่ฟักเป็นผลจากการผสมพันธุ์จึงย่อมมีผลทางการสืบสายเลือดตามลักษณะที่เกิดขึ้นจากการรวมตัวของหน่วยสืบพันธุ์
นั่นคือลูกย่อมได้ลักษณะต่าง ๆ ทั้งของพ่อพันธุ์และแม่พันธุ์ซึ่งมีทั้งลักษณะดีและเลว
การเอาไข่เข้าฟักจึงต้องคำนึงถึงคุณภาพของพ่อแม่พันธุ์ด้วย
สิ่งที่ควรพิจารณาในการเลือกไข่ฟัก
- ควรเป็นไข่ที่มาจากฝูงนกกระจอกเทศที่ไม่เป็นโรค
- พ่อแม่พันธุ์จะต้องสมบูรณ์แข็งแรง
- ต้องมีลักษณะที่ควรเป็นไข่ฟักคือเปลือกไข่สะอาด ผิวเปลือกไม่ขรุขระ รูปไข่บูดเบี้ยวหรือแตกร้าว เป็นต้น
การเก็บรักษาไข่ฟัก
ไข่ที่จะใช้สำหรับการฟักหลังจากเก็บจากรังไข่แล้วจะต้องทำการรมควันฆ่าเชื้อด้วยก๊าซฟลอทาดิไฮด์ก่อนนำไปไว้ในห้องที่มีอุณหภูมิ
20 – 22 องศาเซลเซียส และเก็บนานไม่เกิน 7 วัน ในระหว่างที่เก็บจะต้องทำการกลับไข่อย่างน้อยวันละ
2 ครั้ง
ก่อนที่จะนำเข้าตู้ฟักจะต้องนำไข่ฟักออกจากห้องควบคุมอุณหภูมิมาไว้ที่อุณหภูมิปกติ
(Preheat) เสียก่อนประมาณ 8 – 10 ชั่วโมง เพื่อปรับความเย็นของไข่สู่อุณหภูมิปกติ
(ประมาณ 35 องศาเซลเซียส) ถ้านำไข่เข้าตู้ฟักทันทีจะทำให้เชื้อตาย (Embryonic
Shock) เนื่องจากอุณหภูมิเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วจากเย็นไปร้อน
การฟักไข่ หลักใหญ่ของการฟักไข่ก็คือ
ให้ความอบอุ่นแก่ไข่ฟักให้สม่ำเสมอตลอดเวลา และทำให้สิ่งแวดล้อมให้เป็นผลดีต่อการเจริญของเชื้อลูกนก
เพื่อให้เปอร์เซ็นต์ฟักออกมาเป็นตัวให้มากที่สุด ตู้ฟักไข่นกกระจอกเทศ โดยทั่วไปมักจะแยกตู้ฟัก
(Setter) และตู้เกิด (Hatcher) ออกจากกัน เพื่อให้สะดวกในการทำงานและการควบคุมอุณหภูมิโดยนำไข่เข้าตู้ฟักนาน
38 – 39 วัน หลังจากนั้นจะนำไปไว้ในตู้เกิดซึ่งไม่มีการกลับไข่ (Turning)
อุณหภูมิที่ใช้ในการฟักไข่ประมาณ 35.5 – 37 องศาเซลเซียส ความชื้นสัมพัทธ์
25 %
ปัจจัยทั่ว ๆ ไปที่ช่วยให้การฟักไข่เป็นผลดีคือ
1. อุณหภูมิหรือความร้อน (Temperature)
ที่เหมาะสมที่ใช้ในการฟักไข่ก็คือ 36.2 องศาเซลเซียส มีความชื้น 40 % จะใช้เวลาฟักไข่นาน
41 – 43 วัน แต่ถ้าอุณหภูมิ 35 องศาเซลเซียส ความชื้น 40 % จะใช้เวลาฟักไข่
43 – 47 วัน หากเพิ่มอุณหภูมิให้สูงขึ้นจะทำให้อัตราการตายของลูกนกกระจอกเทศระยะแรกเพิ่มสูงขึ้น
2. ความชื้น (Humidity) ความชื้นที่เหมาะสมช่วยให้การเจริญเติบโตของเชื้อลูกนกกระจอกเทศเป็นไปโดยปกติ
หากความชื้นน้อยไป ลูกนกจะแห้งติดเปลือกและตาย ความชื้นที่เหมาะสมจะทำให้ลูกนกมีขนแห้ง
ฟูสวย ไม่ติดเปลือก นอกจากนี้ความชื้นยังเป็นตัวกำหนดปริมาณการสูญหายของน้ำหนักไข่ในระหว่างการฟักอีกด้วย
3. การระบายอากาศ (Ventilation)
ขณะที่ลูกนกยังเจริญเติบโตอยู่ในไข่
ร่างกายต้องใช้ไข่แดงและไข่ขาวไปสร้างส่วนต่าง
ๆ ของร่างกาย
การที่สิ่งเหล่านี้จะถูกเปลี่ยนแปลงให้เกิดปฎิกริยาละลายเข้าในระบบการดูด
ซึมของตัวลูกนกได้จำเป็นต้องให้ออกซิเจนไปทำปฎิกริยาแก่สิ่งเหล่านี้เพื่อ
เปลี่ยนให้เป็นพลังงาน
ส่วนที่เป็นก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จะถูกขับออกทางเปลือก
หากไม่มีการระบายอากาศออก
จะทำให้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สูงมากขึ้นจนเป็นอันตรายต่อลูกนก
การระบายอากาศจึงเป็นการช่วยให้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกจากตู้ฟัก
และหมุนเวียนให้อากาศออกซิเจนเข้าไปถึงเชื้อลูกนก
ปริมาณออกซิเจนในอากาศที่เหมาะสมคือ
21 %
4. การกลับไข่ (Turning) การกลับไข่ก็เพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อลูกนกแห้งติดเปลือกไข่
ซึ่งจะช่วยลดอัตราการตายของลูกนกขณะที่ฟักไข่ในระยะแรกได้มาก ควรจะกลับไข่อย่างน้อยวันละ
2 – 3 ครั้ง หรือขึ้นอยู่กับองศาของไข่ เช่น ไข่ทำมุม 90 องศา กลับไข่ 2
ครั้ง ไข่ทำมุม 45 องศา กลับไข่ 6 ครั้ง ไข่ทำมุม 45 องศา กลับไข่ทุกชั่วโมง
หลังจากย้ายไข่ไปไว้ในตู้เกิดก็จะไม่กลับไข่อีกเลย
5. การส่องไข่ (Candling) การส่องไข่ก็เพื่อคัดเอาไข่ที่ไม่มีเชื้อ
ไข่เชื้อตาย และไข่เสียออกจากตู้ฟักไข่เสียก่อนที่ไข่จะเน่าและส่งกลิ่นเหม็นในตู้ฟักซึ่งเป็นผลเสียต่อไข่ใบอื่น
ๆ สำหรับการส่องไข่นกกระจอกเทศ จะทำ 2 – 3 ครั้งโดยในครั้งแรกจะส่องเมื่อฟักไข่ไปแล้ว
10 – 14 วัน แต่ถ้ายังไม่แน่ใจอาจส่องดูอีกครั้งเมื่อฟักไปแล้ว 20 –21 วัน
และครั้งสุดท้ายเมื่อจะย้ายไปตู้เกิดหรือเมื่อฟักไข่ไปแล้ว 35 วัน
เนื่องจากไข่นกกระจอกเทศมีเปลือกไข่ที่หนาและแข็ง
แรงมาก
ดังนั้นอุปกรณ์หรือเครื่องส่องไข่เพื่อดูการพัฒนาของตัวอ่อนจะต้องใช้กำลัง
ไฟฟ้าแรงสูงมากและถ้าจะให้เห็นชัดเจนควรส่องดูในห้องมืดและไม่ควรส่องไข่
เล่นโดยไม่จำเป็นเนื่องจากความร้อยจากเครื่องส่องไข่จะไม่ผลต่อตัวอ่อนในไข่
ได้
การคัดเพศ นกกระจอกเทศก็เช่นเดียวกับสัตว์ปีกชนิดอื่น
ๆ ที่มีอวัยวะเพศอยู่ภายใน ดังนั้นการคัดเพศเมื่อนกกระจอกเทศอายุน้อย จึงอาจใช้วิธีปลิ้นก้นเพื่อดูอวัยวะเพศ
โดยในตัวผู้จะมีเดือยเล็ก ๆ โผล่ขึ้นมา ส่วนตัวเมียจะไม่มีเดือยแต่อย่างใด
แต่ถ้าเป็นนกที่อายุ 6 เดือนขึ้นไปแล้ว จะสังเกตได้จากเวลาที่นกกระจอกเทศขับถ่ายอุจจาระ
ปัสสาวะ ถ้าเป็นนกกระจอกเทศเพศผู้จะเห็นเครื่องเพศขนาดยาว 3 – 4 เซนติเมตร
โผล่ออกมาด้วย นอกจากนี้อาจจะสังเกตได้จากสีขน ถ้าเป็นนกกระจอกเทศเพศผู้จะไม่ขนสีดำ
ปลายปีกและปลายหางสีขาว สำหรับตัวเมียจะมีสีน้ำตาลเทาตลอดลำตัว โดยทั่วไปนกกระจอกเทศตัวผู้จะใหญ่กว่านกกระจอกเทศตัวเมีย
0 comments:
Post a Comment