ลักษณะทั่วไปของนกกระจอกเทศ

นกกระจอกเทศ จัดว่าเป็นนกที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกขนาดโตเต็มที่สูงประมาณ
2 – 2.5 เมตร น้ำหนักเมื่อโตเต็มที่จะหนักประมาณ 160 กิโลกรัม มีอายุยืนได้ถึง
65 – 75 ปี ตัวผู้มีขนาดโตกว่าตัวเมีย ตัวผู้เมื่อโตเต็มวัยขนตามลำตัวจะเปลี่ยนไปเป็นสีดำ
ส่วนขนปีกและขนหางจะเป็นสีขาวสวยงามมาก
สำหรับตัวเมียจะมีขนตามตัวสีน้ำตาลเทาอ่อน ปากมีลักษณะแบนและกว้างมาก
ดวงตากลมโต หัวเล็ก ศรีษะล้าน มีขนอ่อนบางสีเทา น้ำตาลอ่อนคล้ายสีครีมหรือผลมะอึก
คอยาวและมีขนอ่อนเช่นเดียวกับหัว ปีกเล็กไม่สมตัว ขนที่ปีกยาวพอสมควรแต่ก็ไม่ใช่ขนสำหรับการบิน
ซึ่งขนปีกมีไว้เพื่อความสวยงามเท่านั้น ขาและโคนขาเป็นขาเกลี้ยง ๆ ไม่มีขน
ลักษณะเท้าของนกกระจอกเทศจะพบว่ามีนิ้วเท้าข้างละ 2 นิ้ว
ใต้นิ้วเป็นเนื้ออ่อน ๆ ปลายนิ้วทู่ ๆ ใหญ่ ๆ นิ้วทั้งสองจัดเป็นนิ้วกลางและนิ้วนางเท่านั้น
นิ้วที่ใหญ่มากคือนิ้วกลาง ซึ่งเป็นธรรมชาติของสัตว์โลกอย่างหนึ่งคือ สัตว์ที่ไม่ใช้ความเร็วของฝีเท้าจะมีนิ้วครบชุดมือ
– เท้าข้างละ 5 นิ้ว หากสัตว์นั้นต้องการความเร็วของฝีเท้าเพื่อวิ่งหนีศัตรู
ธรรมชาติก็จะวิวัฒนาการให้นิ้วหายไปทีละนิ้วสองนิ้วจนเหลือแต่เพียงนิ้วเดียว
เช่นเท้าของม้า มีเพียงนิ้วเดียวที่เรียกว่ากีบเท้าม้า
ลักษณะการวิ่งของนกกระจอกเทศ
เมื่อออกวิ่งจะยืดหัวกับคอไปข้างหน้า ปีกที่ใช้ประโยชน์ในการบินจะกางออกเล็กน้อยเพื่อการทรงตัว
ปกตินกกระจอกเทศจะเป็นสัตว์อารมณ์ดี นิสัยไม่ดุร้ายมีความสนใจในสิ่งแปลกใหม่
ชอบอยู่รวมกันเป็นกลุ่มและไม่ทำร้ายใครก่อน แต่ค่อนข้างที่จะเป็นสัตว์ที่ตื่นตกใจง่าย
เมื่อมีเสียงดังจะตกใจวิ่งหนีออกไปอย่างรวดเร็ว ถ้ามีอะไรขวางจะชนทันที จึงเป็นอันตรายสำหรับนกเอง
แต่ถ้าคุ้นเคยก็จะเข้ามาหา ชอบใช้ปากจิกสิ่งแปลกใหม่และวัสดุสะท้อนแสง
ดังนั้น คนที่เลี้ยงนกกระจอกเทศหรือเข้าไปดูนกกระจอกเทศไม่ควรใส่แหวน
ตุ้มหู และเครื่องประดับอื่น ๆ ที่เป็นพวกโลหะ เพชร พลอย และอื่น ๆ ที่สะท้อนแสง
นกกระจอกเทศจะชอบอยู่กันอย่างเงียบ ๆ ไม่ค่อยชอบส่งเสียง ไม่ร้องหนวกหู
นกกระจอกเทศนั้นถึงแม้ว่าจะมีมันสมองเล็กแต่ก็มี
ความสามารถในการจดจำบางสิ่งบางอย่างได้เป็นอย่างดีมีความสามารถในการจำผู้
เลี้ยงดูได้เป็นอย่างดี
จำสถานที่พักอาศัยที่ปลอดภัยได้
และถ้าตกใจหรือถูกรังแกทำร้ายจากสัตว์ชนิดใด
นกกระจอกเทศจะจดจำ
เมื่อจวนตัวหรือโกรธจะต่อสู้ป้องกันตัวด้วยการเตะไปข้างหน้าพร้อมทั้งจิก
ศัตรูที่รังแก
ธรรมชาติได้สร้างให้นกกระจอกเทศมีสีที่พรางตัวเป็นอย่างดีในทุ่งหญ้าแถบทะเลทราย
และคอที่ยาวจึงสามารถมองเห็นศัตรูที่จะมาทำร้ายได้ในระยะไกล ๆ นกจะยืดหดคอและหัวขึ้น
ๆ ลง ๆ ตลอดเวลาเพื่อเป็นการตรวจสอบระแวดระวังภัย
โดยทั่วไปแล้วนกกระจอกเทศชอบที่จะอาศัยอยู่ในสภาพ
พื้นที่ที่มีอากาศอบอุ่นจนถึงร้อน
มีความชื้นต่ำ ในเวลากลางวันที่แดดร้อนจะหลบเข้าตามร่มเงาของต้นไม้
ดังนั้นการเลี้ยงนกกระจอกเทศจะให้ประสบความสำเร็จควรจะเลี้ยงในพื้นที่ที่มี
อากาศอบอุ่น
ไม่มีฝนตกชุกมากนัก ความชื้นต่ำ
ซึ่งในประเทศไทยพื้นที่ที่เหมาะสมที่สุดควรเป็นภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาค
กลางตอนล่างเป็นต้น
พื้นที่ที่ไม่เหมาะสมได้แก่ ภาคใต้และภาคตะวันออก ทั้งนี้เนื่องจากปริมาณฝนชุกและความชื้นสูง
พายุลมฝนและบางครั้งมีฝนตกติดต่อกันหลายวันอากาศชื้น มีลมหนาวเย็น อาจทำให้นกกระจอกเทศเจ็บป่วยได้
ภูมิอากาศที่เป็นอันตรายที่สุดสำหรับนกกระจอกเทศ
คือ ลมพายุฝน
ฝนที่ตกพรำ ๆ และมีอากาศหนาว ลูกเห็บ
ซึ่งในต่างประเทศที่เลี้ยงนกกระจอกเทศจึงมีคอกพักที่ปิดมิดชิดให้ความอบอุ่น
แก่นกกระจอกเทศ
นกกระจอกเทศเมื่อมีอายุประมาณ 10 – 14 เดือนน้ำหนักประมาณ
90 – 110 กิโลกรัม เป็นวัยที่มีอัตราการเจริญเติบโตสูงสุด แต่ต้นทุนการผลิตต่ำสุด
เมื่อนกกระจอกเทศอายุมากขึ้น อัตราการเปลี่ยนอาหารให้เป็นเนื้อก็จะยิ่งสูงขึ้น
ซึ่งหมายความว่าต้องกินมากแต่ได้เนื้อน้อย ต้นทุนในการผลิตก็จะยิ่งมากขึ้นด้วย
นกกระจอกเทศหนึ่งตัวสามารถให้ผลผลิตต่าง ๆ
มากมายและมีคุณภาพดีเยี่ยม ไม่ว่าจะเป็นเนื้อ หนัง ขนหรือไข่เพราะการผลิตแต่ละชนิดมีความสามารถเฉพาะตัวดังนี้
1.หนัง(Leeather) ถือว่าเป็นส่วนที่มีค่าและราคาแพงที่สุดเพราะหนังนกกระจอกเทศมีคุณภาพดีเยี่ยม
ดีกว่าหนังจรเข้เสียอีก นกกระจอกเทศ 1 ตัว จะให้หนังที่มีลักษณะเฉพาะแตกต่างกันไปถึง
3 แบบคือ
- หนังส่วนแข้ง จะมีลักษณะเป็นเกล็ดคล้ายหนังของสัตว์เลื้อยคลานบางประเภท
- หนังบริเวณต้นขา จะเป็นหนังเรียบคล้ายหนังวัว
- หนังบริเวณหลัง จะมีเม็ดตุ่มนูนขึ้นมา ซึ่งตุ่มนี้คือรูขุมขนนั่นเอง
หนังของนกกระจอกเทศสามารถนำไปใช้ประโยชน์มากมาย ไม่ว่าจะเป็นเสื้อแจ๊คเก็ต
กระเป๋า รองเท้า เข็มขัด หรือบู๊ตก็ตาม นกกระจอกเทศอายุ 10 – 14 เดือน จะให้หนังที่มีคุณภาพดีที่สุดขนาด
1.1 – 1.5 ตารางเมตร
2.เนื้อ (Meat) เนื้อนกกระจอกเทศจะมีสีแดงเหมือนเนื้อวัวแต่รสชาติจะอ่อนนุ่มคล้ายเนื้อไก่
มีไขมันและคอเลสเตอรอลต่ำมาก จึงเหมาะกับผู้ที่มีปัญหาเรื่องไขมันในเส้นเลือดสูง
หรือผู้ที่บริโภคเนื้อวัวก็สามารถหันมาบริโภคเนื้อนกกระจอกเทศได้ อายุที่ควรส่งโรงงานแปรรูปคือ
10 – 14 เดือน มีน้ำหนักระหว่าง 90 – 110 กิโลกรัม ซึ่งเมื่อชำแหละแล้วจะได้น้ำหนักซาก
50 – 55 % โดยเฉลี่ยจะเป็นเนื้อที่ขาเสีย 33 – 35 % นอกจากนั้นก็เป็นเนื้อจากส่วนต่าง
ๆ ของร่างกาย จากการวิเคราะห์ พบว่าเนื้อนกกระจอกเทศมีคุณค่าทางอาหารที่ดี
มีไขมันต่ำ (1.2%) คอเลสเตอรอลน้อยประมาณ 600 มิลลิกรัม โปรตีนสูงกว่า 20
% น้ำ 75.4 % นอกจากนี้ยังมีแร่ธาตุที่สำคัญ เช่น ในเนื้อนกกระจอกเทศ 100
กรัม จะมีแมกนีเซียม 21.5 มิลลิกรัม ฟอสเฟต 208 มิลลิกรัม และโพแทสเซียม
351.4 มิลลิกรัม
ตาราง ส่วนประกอบของโภชนะในเนื้อสัตว์ประเภทต่าง
ๆ (คำนวณจากสัตว์ชนิดละ 85 กรัม)
ชนิดของเนื้อ
|
โปรตีน (กรัม)
|
ไขมัน (กรัม)
|
แคลอรี่ (มิลลิกรัม)
|
คอเลสเตอรอล(มิลลิกรัม)
|
เนื้อนกกระจอกเทศ
|
22.0
|
2.0
|
96.9
|
58.0
|
เนื้อนกอีมู
|
22.8
|
4.0
|
94.4
|
52.6
|
เนื้อวัว
|
23.0
|
15.0
|
240.0
|
77.0
|
เนื้อไก่
|
27.0
|
3.0
|
140.0
|
73.0
|
เนื้อไก่งวง
|
25.0
|
3.0
|
135.0
|
59.0
|
เนื้อแกะ
|
22.0
|
13.0
|
205.0
|
78.0
|
เนื้อหมู
|
24.0
|
19.0
|
275.0
|
84.0
|
3.ขน (Feathers) พัฒนาการ
ของขนนกกระจอกเทศตั้งแต่แรกเกิดจนถึงโตเต็มที่
จะแบ่งออกได้เป็น 4 ระยะ คือ ระยะแรกเกิดเข้าสู่ระยะลูกนก
แล้วเป็นนกรุ่น
และไปสิ้นสุดที่นกโตเต็มวัย (Adult) ใช้เวลานาน 16 เดือน
จนเมื่อนกกระจอกเทศอายุ
2 ปีขึ้นไป ขนนกจะไม่มีการพัฒนารูปแบบอีกเลย
นกตัวผู้จะมีขนสีดำปลายปีกและหางจะมีสีขาว
ส่วนตัวเมียจะมีขนสีน้ำตาลเทาตลอดลำตัว
ขนสีขาวบริเวณปลายปีกและหางจะมีราคาแพงที่สุด
ผู้เลี้ยงสามารถตัดขนนกระยะห่างกันทุก 6 เดือน จะได้ขนนกประมาณ 1.5
– 2 กิโลกรัม
โดยนำไปใช้ทำเป็นเครื่องประดับ ตกแต่งเสื้อผ้า
และที่สำคัญที่สุดคือ
ทำเป็นไม้ปัดฝุ่นสำหรับใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์หรือเครื่องอิเล็กทรอนิกส์
ที่บอบบางต่าง
ๆ ได้เป็นอย่างดี
0 comments:
Post a Comment